กลอนงานศพ ในพิธีการงานศพนั้นอาจจะมีการกล่าว คำไว้อาลัยงานศพ หรือ คำกลอน เพื่อกล่าวถึงผู้ที่เสียชีวิต คำกลอนที่นำมากล่าวในงานศพนั้นจะโดยจะนำเรื่องราวของผู้ที่เสียชีวิตแต่งขึ้นมาเป็นคำกลอน โดยอาจาจจะใช้การแต่งเป็นกลอนแปดเพราะมีความง่ายและมีสัมผัสไพเราะกว่ากลอนชนิดอื่นๆ ในบางครั้งคำกลอนที่นำมาใช้อาจจะเป็นคำกลอนธรรมะที่สอนเกี่ยวกับชีวิตและความตายว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องปกติของการเกิดและต้องตาย เป็นต้น
กลอนแปด
กลอนแปดที่มักจะถูกนำมาใช้ประพันธ์ คำกลอนงานศพนั้น เป็นเพราะกลอนแปดเป็นคำประพันธ์ที่ได้รับความนิยม มีความเรียบง่าย โครงสร้างของกลอนไม่ซับซ้อน แต่งได้ไม่ยาก สื่อความหมายได้ดีและมีความไพเราะอีกด้วย
กลอนงานศพ ที่เล่าเรื่องของผู้ที่เสียชีวิต
คำกลอนงานศพที่เล่าเรื่องของผู้ที่เสียชีวิตนั้นจะเล่าเรื่องราวของผู้ที่เสียชีวิต หลักการใช้ชีวิต ความดีต่างๆที่ผู้เสียชีวิตได้กระทำไว้ทั้งแต่ครอบครัว ส่วนรวมหรือสังคม โดยการแต่งจะมีการเล่าเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้ผู้ฟังไม่เกิดความเบื่อหน่าย จากการเล่าหรือกล่าวถึงในรูปแบบปกติ ทำให้มีความน่าติดตามและน่าสนใจเพราะคำกลอนนั้นมีสัมผัสนอก สัมผัสใน ทำให้ฟังแล้วเกิดความไพเราะและน่าสนใจ
กลอนงานศพ ที่เกี่ยวกับธรรมะ
ส่วนคำกลอนที่เป็นบทความธรรมะก็มักจะพูดถึงการปล่อยวาง การละ ความไม่แน่นอนของชีวิต โดยคำกลอนเหล่านี้อาจจะถูกประพันธ์ขึ้นโดยพระสงฆ์ต่าง ๆ เพื่อต้องการให้บุคคลทั่วไปนั้นเข้าใจในธรรมะได้ง่ายขึ้นโดยใช้คำกลอนสั้นๆ เพียงไม่กี่บรรทัดเพื่อให้เกิดความกระชับและเข้าใจได้ง่าย
ในบทความนี้ได้รวบรวมตัวอย่างกลอนงานศพที่สามารถนำไปใช้ได้โดยจะเป็นกลอนธรรมะ ที่ประพันธ์โดยพระสงฆ์ หลายๆท่านนำมารวบรวมไว้เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและนำไปใช้ได้
ตัวอย่าง กลอนงานศพ ที่เราได้คัดสรรมาให้แล้ว
เวลาเรามีจำกัด
เวลา ของเราไม่ยาวนัก
ควรรู้จักจัดวางอย่างเหมาะสม
อย่ามัวพร่าเวลาเพราะคารม
อย่าโง่งมแส่ทุกเรื่องชวนเปลืองใจ
เวลาสั้นดั่งน้ําค้างที่พร่างพรม
สั้นดั่งลมพัดพรูวาบวู่ไหว
สั้นดั่งสายฟ้าแลบแปลบปลาบไป
สั้นดั่งไฟวอมวับแล้วดับลง
ชีวิตกระจิริดเพียงนิดหน่อย
เฉกน้ําน้อยในหน้าแล้งต้องแห้งผง
ความยิ่งใหญ่มากมีที่ดํารง
ไม่นานคงร่วงรุ้งฟุ้งกระจาย
ทุกนาทีมีค่ากว่าเพชรพลอย
ไม่ควรปล่อยเปล่าเปลืองเรื่องหลากหลาย
สิ่งใดเป็นแก่นสารอันไม่ตาย
ควรท้าทายทําเรื่องนี้ให้ดีพอ
โมนาลิซ่าคือดวงตาดาวินชี่
มีเกลันเจโลดีเดวิดหนอ
สุนทรภู่ครูกวีแม้ชีกอ
ก็ยังต่อชีวิตใหม่อภัยมณี
ก่อนนาทีสุดท้ายจะวายวาง
สิ่งใดสร้างจําหลักเป็นศักดิ์ศรี
สมบัติทิพย์ประจํายุคทุกนาที
สิ่งใดที่ประดับไว้โลกไม่ลืม?
สังขารนั้นไม่เที่ยง
อนิจจังสังขารนั้นไม่เที่ยง สุดจะเลี่ยงหลีกหลบไม่พบหา
เกิดมาแล้วก็ต้องตายวายชีวา ทิ้งกายาฝังไว้ในมูลดิน
ถึงรูปหล่อน่ารักสักเพียงไหน ที่สุดไซร้ก็เน่าเหม็นเป็นเหยื่อหนอน
ชีวิตนี้ไม่ดำรงคงถาวร ความม้วยมรณ์เท่านั้นเป็นความจริง
มัจจุราชนายใหญ่เอาไปแน่ เว้นแต่เร็วช้าอย่าสงสัย
วันและคืนพลันดับล่วงลับไป เราก็ใกล้ป่าช้ามาทุกที
ถึงคราวตายมิอาจขวางทางยมฑูต ใครจะพูดห้ามไว้มิได้ผล
ทั่วพื้นหล้าหญิงชายตายทุกคน อย่าอิงอลมากคำเร่งทำดี
วันเวลาคล้อยเคลื่อนเลื่อนลอยลับ ไม่เคยกลับมาอีกเหมือนหลีกหนี
มันกลืนกินสรรพสัตว์ทั่วปฐพี ทุกชีวีควรเตรียมพร้อมก่อนยอมตาย
โอ้สังขารไม่นานก็ราญแหลก สลายแตกตายไปเป็นผุยผง
มีเกิดแก่แน่นักจักตายลง เป็นมั่นคงอนิจจังไม่ยั่งยืน
แม้จะมีโภคะมหาศาล บริวารมากล้ำจำนวนหมื่น
อายุหดหมดสั้นทุกวันคืน มิยั่งยืนหญิงชายทุกรายไป
แม้จะเที่ยวท่องไปในโลกหล้า แอบเมฆฟ้าเขาเขินเนินไสล
มัจจุราชติดตามทุกยามไป อยู่ที่ใดไม่พ้นตายอย่าหมายปอง
เป็นเช่นนี้แต่ปฐมบรมกัปล์ เกิดแล้วดับถ้วนหน้าประชาผอง
อนิจจังสังขารวิญญาณครอง จงเพ่งมองสัจจธรรมสำนึกตน
ได้สติครองใจไว้ฉะนี้ จะไม่มีความประมาทอาจให้ผล
อำนวยสุขแก่ประชาในสากล ทุกทุกคนจำไว้ใส่ใจเอย.
กลอนงานศพ
ระลึกถึง ความตาย สบายนัก
มันหักรัก หักหลง ในสงสาร
บรรเทามืด โมหันต์ อันธการ
ทำให้หาญ หายสะดุ้ง ไม่ยุ่งใจ
อันชีวิต คนเรา ก็เท่านี้
จนหรือมี คนเรา ก็เท่านั้น
วาสนา คนเรา ไม่เท่ากัน
อันความตาย เท่านั้น ที่เท่าเทียม
อันชีวิต คนเรา ก็เท่านี้
ตายเป็นผี ต้องลงโลง อย่าสงสัย
ถึงใหญ่โต คับฟ้า สักเพียงใด
ก็ไม่ใหญ่ ไปกว่าโลง เมื่อลงนอน
อันชีวิต..คนเรา..ก็เท่านี้
มีชีวี..แสนสั้นนัก..ยากอยู่ยั้ง
เกิดต้องตาย..สลายไป..ไม่จีรัง
ชีวิตยัง..ควรสร้างเสริม..เติมความดี.
อันคืนวัน พลันดับ ลงลับล่วง
ท่านทั้งปวง อุตส่าห์สร้าง ทางกุศล
แก่ลงแล้ว รำพึง ถึงตัวตน
อายุคน นั้นไม่ยืน ถึงหมื่นปี
ลมหายใจ…เข้าออก…บอกให้รู้
มีเกิดดับ…..สลับอยู่….ดูเปิดเผย
เกิดมาเพื่อ…สิ่งใด……ไม่รู้เลย
ล้วนลงเอย…คืนกลับ…ลับชีวิน
แค่รู้ตัว………ทั่วพร้อม…ย่อมผ่านพ้น
กฏสากล……คือกรรม….ย้ำถวิล
เก่าต้องใช้…ใหม่อย่าสร้าง…ล้างมลทิน
อนิจจัง……..ทั้งสิ้น…….. อนัตตา
หากน้ำตา เป็นน้ำยา ชุบชีวิต
เชิญญาติมิตร ครวญคร่ำ รำพันหา
กี่ศพแล้ว ที่รด หยดน้ำตา
ไม่เห็นฟื้น คืนกายา ดังตั้งใจ
ธรรมดา ของสังขาร คือการดับ
ไม่มีกลับ คืนเป็น เช่นลมหวน
เป็นของจริง จงจำ อย่าคร่ำครวญ
สิ่งที่ควร เร่งทำ คือกรรมดี
อยู่ให้ดี มีธรรม ประจำจิต
ดีจะติด ต่อตั้ง เมื่อยังอยู่
ไปให้ดี มีธรรม เข้าค้ำชู
ดีจะอยู่ ยามพราก เมื่อจากเอย
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า
เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เจ้ามามือเปล่า แล้วเจ้า จะเอาอะไร ?
เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา
ออกจากครรภ์ มารดา แก้ผ้าร้อง-
อุแว้ก้อง เผชิญทุกข์ และสุขา
เติบโตขึ้น มุ่งหาเงิน เพลินชีวา
แท้ก็หา “ ทุกข์สารพัด” มารัดตน
เมื่อยังไม่ตาย มุ่งหมาย ว่าของข้า
เพราะตัณหา พาจิต คิดหลงไหล
แม้ตัวเรา เขายังเอา ไปเผาไฟ
มีสิ่งใด เป็นของเรา ก็เปล่าเลย
แรกเกิดมา มีแต่หัว และตัวเปล่า
มิได้เอา เงินทอง คล้องมาด้วย
เมื่อเป็นอยู่ บากบั่น เข้าขั้นรวย
ยามมอดม้วย ก็ทิ้งไว้ ไปแต่มือ.
มีเงินทอง กองล้น พ้นภูผา
จะซื้อเอา ชีวาไว้ ก็ไร้ผล
เมื่อความตาย มีหมายทั่ว ทุกตัวคน
ติดสินบน เท่าไหร่ ชีพไม่คืน
จะหนีอื่น หมื่นแสน ในแดนโลก
พอย้ายโยก หลบลี้ หนีพ้นได้
แต่หนีหนึ่ง ซึ่งมีชื่อ คือหนีตาย
หนีไม่ได้ ใครไม่พ้น สักคนเดียว
เพราะเจ้ามาจากดิน
แม้ว่าเจ้าจะโบยบินไปไกลแสนไกล
แต่สุดท้าย…เจ้าก็ต้องกลับคืนสู่ดิน…
… ดิน…ที่เจ้าจากมา…
สิ้นสุดสายสังสาร สุดสิ่งสร้างสานสืบสาย
สุดสิ้นสิ่งแส่ส่าย สิ้นสงสัยสุดสังสาร
อันอัฐิขาวโพลนที่ได้เห็น
เหมือนดั่งเป็นสิ่งเตือนสติได้
ว่าสรรพสิ่งทุกอย่างต้องจากไป
เหมือนกระดูกขาวไซร้ที่ได้มอง
มียศศักดิ์สูงส่งเป็นว่าเล่น
มีหน้าตาเป็นดั่งเช่นนิมิตหมาย
มีเงินทองร่ำรวยทาสมากมาย
มีความ” ตาย” รออยู่สุดปลายทาง
สุขอื่นใดจักยืนยงคงเที่ยงแท้
จะมีแน่นั้นหรือในสิ่งไหน
เมื่อมีสุขมักมีทุกข์ขลุกกันไป
จะไปหวังให้ได้สุขแต่ใด
ก็ในเมื่อคนเรานี้เขลานัก
ความเหย่อหยิ่งยิ่งหนักเป็นไหนไหน
ชอบถือตัวมัวหลงตามโลกไป
แต่สุดท้ายไม่เหลือสิ่งไรให้ได้ชม
แม้ความสุขที่ว่าแน่แน่จริงไหม
ต้องเปลี่ยนไปกลับกลายเป็นขื่นขม
มลายหายไปพลันเปรียบสายลม
ไม่เหลือเค้าให้ได้ชมอันใดเลย
จากเมื่อตายใครเล่าจะเฝ้าเห็น
จากเมื่อเป็นยังมาพบประสบศรี
มาตัวเปล่าทรัพย์สมบัติที่ไหนมี
แม้ร่างกายกายีต้องสิ้นไป
บุญและบาปที่เราทำนำสนอง
นำเที่ยวท่องหันเหเฉลไหล
บุญให้สุขทุกข์เพราะบาปขนาบไป
กว่าจะได้มรรคผลดลนิพพาน
กลอนธรรมะ
นาฬิกาเดินเข็มทีละนิด
บอกชีวิตจะยังอยู่ไม่ถึงไหน
บอกชีวิตว่าจะอยู่อีกไม่ไกล
บอกชีวิตให้จำไว้ให้ทำดี
นาฬิกาเดินเข็นทีละนิด
บอกชีวิตให้ทำดีให้เป็นศรี
เพื่อสะสมผลบุญบารมี
เพื่อสู่ภพที่ดีเมื่อจากไป
จิตใจดี คิดดี คงดีนัก
พูดดี มีคนรัก มากมายเหลือ
กระทำดี ได้ดี มีเหลือเฟือ
ไม่ควรเบื่อ ทำดี ทุกที่ทาง
ไฟในใจรุมเร้าเผาดวงจิต
ไฟชีวิตรุกโชนโดนกระหน่ำ
ไฟทั้งหลายที่โหมลุกเข้าคลุกทำ
ไฟคือกรรมราคะรากจากอารมณ์
ให้ชีวิตดับลงซึ่งตรงหน้า
ให้นภาวาดภาพกลางความฝัน
ให้ความรัก กับความสุขเท่า ๆ กัน
ให้คืนวัน ยุดยั้ง มันไม่มี
จงมั่นทำความดี เพื่อสร้างผล
เกิดเป็นคนทำเถิดประโยชน์แสน
แม้วันหนึ่งสิ้นลม ล้มสิ้นแรง
ยังมีแสงแห่งธรรม นำทางไป
อย่านึกว่า วันว่าง จะสร้างได้
ตายเมื่อไหร่ ไปมืดมน คงสิ้นหวัง
น้ำบ่อหน้า หายาก ลำบากพลัน
คอยกี่วัน พ้นกี่คืน มนมืดมัว
ให้ความผิดเป็นครู นำชีวิต
หลงทำผิด พ้นไป ใครว่าชั่ว
คิดทำใหม่ เวลาไม่รอตัว
ปรับความชั่ว เป็นกรรมดี มีคู่ตน
เวลาไป จะได้ พาหายห่วง
ไม่ล้ำล่วง เกินใคร ใจกุศล
ไปไม่ลับ ยังมีชื่อ กล่าวทั่วคน
ให้ความดี อยู่ล้น ในปฐพี
อนิจจัง สังขาร มันไม่เที่ยง
เกิดเท่าไร ตายเกลี้ยง ไม่เหลือหลอ
ถึงแม้ว่า มีเงิน เพลินพนอ
มิอาจต่อ ติดปีก หลีกความตาย
อนิจจา สังขาร ไม่เที่ยงหนอ
มีเกิดก่อ พังยุบ บุบสลาย
มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ครู่ดับไป
การสลาย ดับสังขาร นั้นสุขจริง
เรามีเกิด มีแก่ แลต้องเจ็บ
อีกหนาวเหน็บ เจ็บตาย กลายเป็นผี
บุญหนุนนำ ถ้าทำ แต่กรรมดี
บุญไม่มี ดีหลง ลงโลกันต์
ชนทั้งหลาย กายอยู่ ดูสักหน่อย
บุญใหญ่น้อย ค่อยทำ นำกรรมเกิด
เป็นเสบียง เรียงบุญ คุณอันเลิศ
สุดประเสริฐ เกิดแสงทอง ส่องเห็นธรรม
จะร่ำรวย สวยงาม ทรามสวาท
ฤาฉลาด ปราชญ์เปรื่อง จนเลื่องหล้า
เป็นกษัตริย์ ปกเกล้า เจ้าพารา
สิ้นชีวา ก็ต้องร้าง ทิ้งร่างไป
โครงกระดูกร่างนี้………ของเรา ฤานอ
จุ่งพิจารณาเอา…………ถ่องแท้
ม้วยมรณ์มอดไหม้เผา….เถ้าถ่าน บ่ลา
บ่คิดหาทางแก้………….หลุดพ้นบ้างฤา.
ความเอ๋ย…ความตาย
ธาตุสลาย ภินท์พัง สิ้นสังขาร์
พลัดลูกเมีย เสียของ รักนานา
แม้กายา ที่รักยิ่ง ก็ทิ้งไป…
ตายเมื่อเป็น เหม็นมาก กว่าซากศพ
เหม็นตลบ ด้วยคำฉิน หมิ่นหยาบหยาม
เป็นเมื่อตาย วายชีพชื่อ กลับลือนาม
ทุกเขตคาม กล่าวขวัญ สิ้นวันลืม.
อะนิจฺจา วะตะ สังขารา
ทุกทิวา ราตรี ไม่มีเที่ยง
เหมือนอายุ พลุตะไล ไฟพะเนียง
เมื่อหมดดิน หมดเสียง ก็หมดดัง
ค่าของคน มิได้นับ เพราะทรัพย์มาก
หรือนับจาก รูปลักษณ์ สูงศักดิ์ศรี
หากเกิดจาก คุณงาม และความดี
ผลงานที่ จรรโลงให้ โลกไพบูลย์
เกิด มาเพียรก่อสร้าง ความดี.
แก่ เฒ่ากุศลมี เสาะบ้าง.
เจ็บ ป่วยพยาธิ มีทั่ว กันนา.
ตาย แต่ กายชื่อยัง ชั่วฟ้า ดินสลาย.
อันสังขาร ผ่านเวลา มาแล้วเสื่อม
ใครอาจเอื้อม ฉุดรั้ง ยั้งให้สาว
ศัลยกรรม ทำไป ได้ชั่วคราว
มิยืนยาว เท่าใด ไม่เที่ยงทน
โอ้ว่า อนิจจา สังขารเอ๋ย
มาลงเอย สิ้นสุด หยุดเคลื่อนไหว
เมื่อหมดหวัง ครั้งสุดท้าย ไม่หายใจ
ธาตุลมไฟ น้ำดิน ก็สิ้นตาม
นอนตัวแข็ง แลสลด เมื่อหมดชีพ
เขาตราสัง ใส่หีบ สี่คนหาม
สู่ป่าช้า สิ้นชื่อ เหลือแต่นาม
ใครจะถาม เรียกเรา ก็เปล่าดาย
นี่แหละหนอ มนุษย์เรา มีเท่านี้
หมดลมแล้ว ก็ไม่มี ซึ่งความหมาย
วิญญาณปราศ ขาดลม ดับจากกาย
หยุดวุ่ยวาย ทุกทุกสิ่ง นอนนิ่งเลย